เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๑ ธ.ค. ๒๕๕๓

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๓
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

วันนี้วันพระ เราพยายามปรารถนาหาที่พึ่ง ว่าจะหาความสุข จริงๆ ก็คือหาความสุขนั่นแหละ แต่เราหาความสุขไม่เจอ เราตะครุบแต่เงา ยิ่งตะครุบเงาขนาดไหนนะเงามันก็ยิ่งหนีออกไปมากขึ้นเท่านั้น แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ นี่ความสุขที่เราหาในโลกนี้มันเป็นเครื่องอาศัยเท่านั้นล่ะ

ความสุขในโลกนี้ ถ้าเรามีสติปัญญายับยั้งได้ขนาดนี้ เราจะมีสติปัญญายับยั้งให้ชีวิตเราไม่ต้องดิ้นรนจนมากเกินไป ชีวิตเราเกิดมานะในทางหน้าที่การงาน เห็นไหม คนเราจะดีจะชั่วเขาวัดกันที่หน้าที่และการงาน.. การทำหน้าที่การงานนั้น การรับผิดชอบนั้น การดูแลรักษานั้น

ความรับผิดชอบ ! ความรับผิดชอบนะ ถ้าเรารับผิดชอบตัวเรา เห็นไหม สังคมจะมีความร่มเย็นเป็นสุขทั้งนั้นเลย เพราะเราไม่ต้องพึ่งพาอาศัยเขามาก เวลาคนที่ทุกข์ยาก โทษว่าสังคมรังแก.. สังคมรังแก.. สังคมรังแกมันอยู่ที่หัวใจของเรานะ ดูสิ ดูพระเราเข้าป่าเข้าเขา สังคมเขาก็มี นี่เราบิณฑบาตมาได้มากหรือได้น้อยขนาดไหน เราก็ฉันอาหารแต่พอประทังชีวิตเท่านั้นล่ะ

มักน้อยแล้วสันโดษ.. เพราะการมักน้อยสันโดษนั้นสันโดษเพื่อใครล่ะ ดูสิทางการแพทย์ เห็นไหม แม้แต่ชีวจิต การกินการอยู่ ถ้าเรารักษาดูแล เราจะไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ แม้แต่การกินการอยู่ ถ้าเรารู้จักรักษา รู้จักดูแล มันก็ทำให้เราแข็งแรง ทำให้เราไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บ เว้นไว้แต่ ! เว้นไว้แต่คนมีเวรมีกรรม.. คนมีเวรมีกรรมเวลากรรมมันให้ผลมันให้ผลทั้งนั้นล่ะ

เวลาคนป่วย ในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าป่วยเพราะธรรมชาติ ป่วยเพราะชราคร่ำคร่า ป่วยเพราะมันเสื่อมสภาพ นี่อันนี้เป็นความจริง..

ป่วยเพราะเป็นกรรม มีเวรมีกรรม ป่วยเพราะโรคกรรมนี้ก็มี โรคกรรมคือว่าไปโรงพยาบาลแล้ว โรงพยาบาลตรวจหาโรคไม่เจอ รักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย เอายาจากฟ้ามาก็ไม่หาย มันเป็นโรคของโรคกรรม แต่ถ้ามันแก้กรรมแล้วมันแก้หาย

โรคของอุปาทาน.. ไม่เป็นนี่คิดจนเป็นๆ เห็นไหม เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยมานะ ฉีดน้ำกลั่นมันก็ว่านั่นก็ฉีดยาแล้ว มันก็ลุกไปได้นะ เจ็บปวดจะเป็นจะตายโอดโอยนะ ฉีดน้ำกลั่นเข้าไปนะ เขาบอกว่าฉีดแล้วกลับ.. นี่ไง นี่โรคอุปาทาน โรคมันมีโดยธรรมชาติอย่างนี้ นี่โรคที่เกิดในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไว้

ฉะนั้นชีวิตเรา เห็นไหม ถ้ามันชราคร่ำคร่านี่เป็นเรื่องธรรมดา เป็นเรื่องธรรมดาคือเป็นสัจธรรม ถ้ามันเป็นโรคกรรม.. ที่เราทำบุญกุศลนี่กรรม ทุกคนมีกรรมทั้งนั้นล่ะ ถ้าไม่มีกรรมเราไม่มีเกิดอยู่นี้หรอก ที่มาเกิดอยู่นี่เพราะกรรมดีและกรรมชั่ว กรรมดีทำให้มาเกิดเป็นมนุษย์นะ กรรมชั่วทำให้เกิดนรกอเวจี

ถ้ามีบุญกุศลมีกรรมดีก็ไปเกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เห็นไหม นี่เทวดา อินทร์ พรหม คนที่ภาวนาแล้วเขาไม่อยากจะไปเกิด เพราะอายุของพรหม อายุของเทวดานี่อายุเขายืนกว่าเรา ถ้ายืนกว่าเรานี่เราก็เทียบมนุษย์กับแมลงวันสิ แมลงวัน ๗ วันมันก็ชีวิตหนึ่งนะ แมลงวันว่ามันอายุยืนนะมันอยู่ตั้ง ๗ วัน แต่เราอยู่ ๑๐๐ ปี

เวลาเป็นเทวดา อินทร์ พรหมก็เหมือนกัน แต่เราเทียบเอาในปัจจุบันที่เรามีสติปัญญาไง สติปัญญา เห็นไหม นี่ ๕,๐๐๐ ปี ในพุทธศาสนานี่ ๕,๐๐๐ ปี กึ่งพุทธกาลมานี่ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว พอ ๒,๕๐๐ ปีมาแล้ว เราไปขุดตามประวัติศาสตร์ ไปดูทางวัตถุโบราณ เห็นไหม โอ้โฮ.. นั่น ๑,๐๐๐ ปี นั่น ๒,๐๐๐ ปี โลกเขาพิสูจน์กันได้ตั้งแต่ ๔,๐๐๐ ล้านปี.. ๔,๐๐๐ ล้านปี โลกที่กว่ามันจะเย็นลง กว่ามันจะมาเป็นประโยชน์กับเรา

นี่สิ่งนี้มันเป็นวิทยาศาสตร์ เป็นเครื่องที่จะมาให้เราศึกษา ให้เรามีปัญญา ให้เราไม่ตื่นกลัวไปไง แต่เดิมคนโบราณเรานะกราบบูชาไฟ กราบบูชาภูเขา กราบบูชาพระอาทิตย์เพราะไม่มีสิ่งใด เพราะไม่เข้าใจ พอวิทยาศาสตร์เจริญขึ้นมาเรารับรู้ได้หมดเลยว่าสิ่งนี้เป็นธรรมชาติ สิ่งนี้มันเป็นธรรมชาติที่มันหมุนเวียนไป เป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา สภาวะที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา

โลกนี้เป็นอจินไตย.. ที่ว่าโลกนี้จะแตก โลกนี้จะสลาย เราไม่เชื่อ ! พระพุทธเจ้าบอกว่า “โลกนี้เป็นอจินไตย” คำว่าอจินไตยคือมันไม่มีกาลเวลาที่มันจะหมดมอดไหม้ไป แต่มันเป็นอนิจจัง ! มันเป็นอนิจจังคือมันแปรสภาพ.. ทวีปนี่เคลื่อนทุกปี ปีละ ๒ นิ้ว ห่างกันออกไปทุกปี เดี๋ยวนี้วิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้หมดแล้ว สิ่งนี้พิสูจน์ได้แล้วแล้วเราอะไรล่ะ

เราก็ได้ความที่ว่าเรามีปัญญา เราไม่ลังเลสงสัย เราไม่ตื่นกลัวไปกับโลก แต่เราตื่นกลัวกับชีวิตเรานะ เราตื่นกลัวกับความรู้สึกในหัวใจของเรานะ เวลาอุปาทานมันเกิดขึ้นมา เวลาอารมณ์พัดขึ้นมา ความโลภ ความโกรธ ความหลงขึ้นมาในหัวใจนี่เราตื่นกลัว เราตื่นกลัวจนไม่มีที่พึ่ง ไม่มีที่อาศัย ไปหาครูบาอาจารย์ว่านี่เป็นอะไร.. เป็นอะไร อ้าว.. คนเป็นเองมาถามอะไร ตัวเองประสบมาแล้วมาถามอาจารย์ว่าเป็นอะไรๆ ก็เราเป็นเอง แต่เราไม่มีสติปัญญา เห็นไหม แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ.. อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน !

จิตนี้ปฏิสนธิชีวิตมาเกิด เวลาแก้ไขต้องแก้ไขที่จิตนี้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกให้เราทำทาน นี่เราทำบุญกัน วันพระวันเจ้าเรามาทำบุญกุศลนี้เพื่อให้ความตื่นกลัวนั้นให้มันมีที่พึ่ง ความตื่นกลัวจนไม่มีที่พึ่ง เห็นไหม ดูสิ เวลาคนจมน้ำ น้ำมันพัดไป คนที่ยืนอยู่บนฝั่งก็ว่าเกาะขอนไม้สิ เกาะขอนไม้สิ นี่มันมีขอนไม้ให้เกาะ ว่ายน้ำเขาฝั่งสิ เห็นไหม มีคนบอก

เราอยู่ท่ามกลางกระแสน้ำเราไม่มีที่พึ่งที่อาศัย.. เราทำบุญกุศลสิ เราเสียสละสิ เราเสียสละสิ่งนี้ขึ้นมาให้จิตมันมีที่เกาะ คนเวลาน้ำท่วม เวลาน้ำหลากมา เขาโดนน้ำพัดไปเขาไม่มีที่เกาะเขาต้องมีความทุกข์ของเขา แต่ถ้าเขามีสิ่งใดเกาะของเขา นี่เขาประทังชีวิตของเขาไป

บุญกุศล.. สิ่งที่ทำขึ้นมานี่ หัวใจที่มันโดนความโลภ ความโกรธ ความหลงกระหน่ำซ้ำเติมอยู่นี้มันไม่มีที่พึ่งอาศัย เห็นไหม ก็อาศัยบุญเป็นที่เกาะ ! ที่เกาะ ! ที่เกาะ ! มันถึงจะเป็นความจริง

ความจริงนี่ทาน ศีล ภาวนา.. ถ้าเราทำบุญกุศลมาเราหาที่เกาะนะ อ้าว.. ก็ทำบุญนี่ดูสิ ทำบุญทุกวันเลย ตักบาตรทุกวันเลยทำไมชีวิตมันไม่รุ่งโรจน์ ความรุ่งโรจน์มันอยู่ที่ไหนล่ะ ความรุ่งโรจน์ไม่มีที่สิ้นสุด ดูสิ เวลาเขายิงจรวดขึ้นไปบนอากาศ พอหมดแรงขับมันก็ตก นี่ความรุ่งโรจน์เป็นอย่างนั้นเหรอ

ความรุ่งโรจน์ เห็นไหม ดูสิ ชีวิตของใครก็แล้วแต่ลุ่มๆ ดอนๆ มันต้องมีอุปสรรคทั้งนั้นล่ะ ถ้าความอุปสรรคนั้น ความรุ่งโรจน์มันอยู่ที่ไหนล่ะ มันเป็นอนิจจัง มันเป็นสัพเพ ธัมมา อนัตตา มันเป็นกุปปธรรม มันไม่เป็นอกุปปธรรม มันไม่เป็นอฐานะที่จะมีความเปลี่ยนแปลง

ความรุ่งโรจน์คือความพอใจของเรา ถ้าจิตมันมีสติปัญญาของมันนะ มันดูแลรักษาตัวมัน มันรุ่งโรจน์ที่นี่ รุ่งโรจน์อันนี้มันอยู่คงที่นะ.. เวลาทำความสงบของใจเข้ามา ดูสิ เวลามีความสุขความสงบในหัวใจนี่ เราต้องไปหาสิ่งใดมาเจือจานมัน มันเกิดขึ้นมาจากสติปัญญาของเราใช่ไหม แต่สิ่งที่เราหามาจากภายนอกนี้เราดำรงชีวิตไง เราเห็นแต่สิ่งที่เป็นวัตถุ สิ่งที่เป็นของหยาบ สิ่งที่เราเป็นโลกธรรม แต่เราไม่เห็นสัจจะความจริงในหัวใจของเรา มันถึงได้ตื่นกลัวไง

โลกเขายังพึ่งพาอาศัยกันได้นะ เจ็บไข้ได้ป่วยก็ไปหาหมอ ไปหาหมอก็ว่าหายไหม.. หายไหมเลยแหละ จะให้หายอยู่ตลอดเวลา.. นี่ก็เหมือนกัน เวลาจิตเราป่วยนี่ก็เรามาวัดมาวา เห็นไหม มาวัดมาวาก็มาหาธรรมโอสถ มาหาหมอ หมอก็ให้ยา ให้ยาแล้วจิตใจมันรับไหมล่ะ.. ถ้าจิตใจมันรับ นี่เรามีสติปัญญาของเรา เราจะรักษาของเรา เห็นไหม

นี่วันพระวันโกน.. วันพระวันเจ้านี่เรามาเพื่อจิตใจของเรา การเสียสละออกไปทั้งหมด นี่ในทางวิทยาศาสตร์ว่าก็พระได้ ทำทานๆ นี่ก็พระได้.. พระนะ ถ้าพระไม่มีปัญญา สิ่งที่ได้มานะมันเป็นภาระรับผิดชอบ มันเป็นสิ่งที่ทำศรัทธาเขาให้ตกร่วง

“ภิกษุ ทำให้ศรัทธาไทยเขาตกร่วงเป็นอาบัติปาจิตตีย์”

คำว่าศรัทธาคือความเชื่อ ศรัทธาคือความยึดมั่นในศาสนา แล้วเราทำบุญกุศลขึ้นมา.. ภิกษุทำให้ศรัทธานั้นตกไป แต่เวลาครูบาอาจารย์ท่าน.. (หัวเราะ) จะว่าเวลาเอ็ด เอ็ดนี่ศรัทธาตกไหม เวลาเอ็ดนี่นะคือศรัทธาเราจะเข้มข้นขึ้น

ศรัทธาของเรา เห็นไหม บุญกุศลนะ ความจริงนะเวลาเราไปวัดไปวานี่ทุกคนก็มีอีโก้ มันก็มีความต้องการทั้งนั้นล่ะ อยากให้ของเราเป็นอย่างนั้น ของเราเป็นอย่างนั้น.. แต่ถ้าธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศรัทธาแท้นี่ทิ้งเหว.. คำว่าทิ้งเหวนะทำบุญกุศลทิ้งเหว คือไม่ต้องการสิ่งตอบแทนใดๆ เลย มันจะมีสิ่งตอบแทนมหาศาล แต่เรานี้มันต้องการสิ่งตอบแทน เห็นไหม นี่ครูบาอาจารย์ที่ท่านเอ็ด ท่านเอ็ดอย่างนั้น

“ประเพณีวัฒนธรรมไม่ใช่ธรรม !”

ประเพณีวัฒนธรรม วัฒนธรรมประเพณี.. วัฒนธรรมคือความตกผลึก สังคมที่ตกผลึกมาเป็นวัฒนธรรม สิ่งที่เป็นวัฒนธรรมนี้ เราทำตามวัฒนธรรม แต่ความรู้สึก ความอบอุ่น ความสุขที่เกิดขึ้นจากการกระทำนั้น นั่นคือธรรม !

ธรรมคือความพอใจในหัวใจ มันไม่ใช่วัฒนธรรม.. นี้เราไปยึดในวัฒนธรรม ต้องทำอย่างนี้ ! ต้องทำอย่างนี้ ! แต่มันหยาบ ถ้ามันละเอียดเข้าไปนะคือความพอใจ คือความสุขของเรา เราได้ทำของเรา เห็นไหม ดูสิ ดูคนนู้นเขาทำแล้วทำไมเขาถึงมีความทุกข์ มีความวิตกกังวล ไอ้เราสบาย.. เรามีความพอใจ เรามีความสุขใจ เรามีความมั่นใจของเรา เราไปถึงเราก็ทิ้งเหว เราประเคนแล้วก็จบ เห็นไหม นี่เวลาเอ็ดๆ อย่างนั้นไง

นี้เขาบอกว่า ผู้ใดทำศรัทธาไทยให้ตกร่วงเป็นอาบัติปาจิตตีย์.. แล้วเวลาเขามาวัดแล้วเอ็ดเขานี่เป็นอาบัติปาจิตตีย์หรือเปล่า (หัวเราะ) ไม่เป็น ! อันนี้ให้ยา เวลาให้ยานี่นะ เวลาฉีดยานี่เข็มปักมันก็ต้องเจ็บเป็นธรรมดา แต่เวลายาเข้าไปในร่างกายแล้วยาก็จะรักษาโรค

นี่ก็เหมือนกัน มันฉีดเข้าไปในหัวใจ ถ้าหัวใจมันเริ่มแก้ไข มันเริ่มเปลี่ยนแปลงของมัน เห็นไหม อตฺตา หิ อตฺตโน นาโถ สิ่งนี้พิสูจน์ได้.. สัมผัสได้ จิตใจของเรานี้สัมผัสได้ ถ้าจิตใจของเราพัฒนาขึ้นไปนี่เราจะรู้เอง.. แต่ก่อนทำไมเราทำอย่างนั้น แต่ก่อนทำไมเราเห็นว่าสิ่งนั้นเป็นความถูกต้อง ทำไมเดี๋ยวนี้เราไม่ทำอย่างนั้นอีกแล้ว ความที่เห็นเป็นความถูกต้องเราปล่อยมาแล้ว เราวางมาแล้ว ทำไมคนอื่นยังเป็นอย่างนั้น

นี่วุฒิภาวะของใจ ! พัฒนาการของมัน.. วุฒิภาวะของใจจากที่หยาบๆ จากที่เราเสียสละสิ่งใดก็ว่า อู้ฮู.. มีคุณค่ามากนะ พอเราเสียสละของเราจนมีความชำนาญ มีความคล่องตัวขึ้นมา เราเสียสละได้ดีขึ้นไปเรื่อยๆ วุฒิภาวะของการฝึกนี่พันธุกรรมของมัน จิตใจของคนมันมีจริต มันมีนิสัย มันมีพัฒนาการของมัน เวลาเราไปปฏิบัติกัน เห็นไหม นี่มันง่ายๆ อู๋ย.. มันสะดวกมันสบาย อู๋ย.. มีความสุขมาก.. ไร้สาระมากเลย

นี่มันมีสติปัญญาของมัน มันไม่ง่ายหรอก สอยเข็มนี่นะหลับตาสอยได้ไหม หลับตาสอยเข็มนี่ พอจะเป็นประโยชน์ขึ้นมา สอยเข็มนะวางไว้บอกสอยแล้ว แล้วจะเอาเข็มไปเย็บผ้านี่มันไม่มีด้ายก็เย็บผ้าไม่ได้หรอก

ง่ายๆ ง่ายๆ นี่พัฒนาการของจิต พัฒนาของการมัน วัฒนธรรมพัฒนาการของมัน แล้วบอกว่ามีความสุขความสบาย มันไม่ได้สอยเข็ม มันไม่มีด้าย.. ถ้าเข็มมีด้ายใช่ไหม เย็บผ้าปะผ้านี่มันจะเป็นประโยชน์ ถ้าเข็มมันไม่มีด้ายนะ นี่เย็บไปมันมีแต่เข็มเปล่าๆ เย็บก็สะดวก ทำอะไรก็สะดวกแต่ผลมันไม่มี

นี่ไง พัฒนาการของมันมี ! แล้วถ้าพัฒนาการของจิตขึ้นมา นี่มันสบาย.. มันสบาย นั้นเอ็งไม่ทำก็สบาย แดดออกขนาดไหนนะเดี๋ยวพระอาทิตย์ตกมันก็เย็น มันเป็นพัฒนาการของมัน มันมีอย่างนั้น น้ำขึ้นน้ำลงเป็นธรรมชาติของมัน จิตมีขึ้นมีลง ไม่มีทางหรอกว่ามันจะเป็นไปได้ มันเป็นอนิจจัง เป็นไปไม่ได้ !

แต่ถ้าในธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต้องมีความเพียรชอบ ! มีความเพียร ความวิริยะอุตสาหะโดยชอบธรรม ถ้าไม่มีความเพียร ความวิริยะอุตสาหะโดยชอบธรรมไม่ใช่มรรค !

ความมักง่าย ความเห็นแก่ตัว ความเอารัดเอาเปรียบไม่ใช่มรรค ! เป็นมิจฉา.. มิจฉามรรค เป็นการเอารัดเอาเปรียบหัวใจของตัวเอง เป็นการทำลายจิตใจของตัวเอง เป็นการปิดโอกาสของตัวเอง เกิดมาในพุทธศาสนา แล้วประพฤติปฏิบัติด้วย แต่เข้าไม่ถึงศาสนานี่เป็นการทำร้ายตัวเอง การทำร้ายตัวเองโดยตัวเองไม่เข้าใจ แต่ถ้าเป็นความจริง เห็นไหม สอยเข็มแล้วมันมีเข็มมีด้าย จะปะผ้าเย็บผ้า

นี่ก็เหมือนกัน ทาน ศีล ภาวนา.. เราต้องมีความวิริยะอุตสาหะ มีสติมีปัญญาของเรา แล้วพอมันเข้าใจ พอมันพัฒนาการของมันไปนี่เรามีหลักมีเกณฑ์นะ เห็นไหม

“จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง”

เรามีน้ำมีท่า เราจะเจือจานคนที่ทุกข์ที่ยาก ถ้าเขาไม่มีน้ำดื่มนี่เราจะทำให้เขาได้ ไอ้นี่ก็เหมือนกัน เราก็หิวกระหาย เราก็ไม่มีน้ำ ไอ้เขาก็ไม่มีน้ำ ว่าสบาย.. สบาย.. สบาย.. มึงจะอดตายกันอยู่นั่น !

แต่ถ้าใครมีน้ำนะ มีน้ำคือน้ำใจ มีน้ำคือพัฒนาการของมัน มีน้ำคือการปฏิบัติของมัน มันมีน้ำ มันมีคุณธรรม มันจะเจือจานคนอื่นได้นะ.. เรามีน้ำ เราจะเจือจานคนที่ทุกข์ที่ยากที่เขาหิวกระหายได้ จิตใจดวงหนึ่งที่พัฒนาการของมัน วิวัฒนาการของมัน

นี่จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง เห็นไหม ดวงใจมันปฏิสนธิจิตอันนี้ ที่เกิดมาเป็นมนุษย์ที่นั่งกันอยู่นี้มันทุกข์มาจากไหน นี่สิ่งที่ว่าข้างนอกเรายังตื่นเต้นไปกับเขา แล้วหัวใจของเราล่ะ ถ้าเราตื่นเต้นวิทยาศาสตร์ก็พิสูจน์แล้วมันก็หายความวิตกกังวล แต่หัวใจของเรานี่เรายังพิสูจน์ไม่ได้ เรายังทำของเราไม่ได้ ศีล สมาธิ ปัญญายังเกิดขึ้นมาในหัวใจของเราไม่ได้ เราต้องแก้ไขตรงนี้ ทำบุญกุศลก็เพื่อเหตุนี้นะ

ทำบุญกุศลเป็นอามิส ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว นี่มันเป็นอามิส มันเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย แต่หัวใจมันยังต้องทุกข์ยากไป มันยังต้องเดินทางต่อไป จิตนี้จะเกิดตายไปข้างหน้า แต่ถ้าเราวิวัฒนาการ พัฒนาการของมันจนเป็นโสดาบัน อีก ๗ ชาติเท่านั้น

จิตนี้ไม่มีต้นไม่มีปลาย หมุนไปในวัฏฏะ กับพระโสดาบันไม่เกิดอีก ! จะเกิดอีกก็ ๗ ชาติเท่านั้น.. คำว่า ๗ ชาติ นี่มันมีขอบเขตของมัน เห็นไหม พระสกิทาคามี พระอนาคามีนี่เกิดบนพรหม ถึงที่สุดแล้วสิ้นกิเลสไปทำอย่างไร

นี่มันมีผลในพุทธศาสนาของเรา ศาสนาพุทธคือศาสนาสิ้นสุดแห่งทุกข์.. ในการประพฤติปฏิบัตินี่เราทำบุญกุศลเพื่อเหตุนั้น สิ่งที่เราจะมาทุกข์จะยากนี้ เรามีความสุขเราก็พอใจ เห็นไหม ไปเกิดบนสวรรค์ไม่อยากไปหรอก อยากจะทุกข์ๆ ยากๆ อย่างนี้ นี่เวลากิเลสมันคิดมาในหัวใจ แต่ความจริงแล้วมันก็ซ้ำซาก แต่ของนี้มันเป็นภพเป็นชาติที่เราลืมไปแล้วนะ เราลืมไป เรารู้ได้แต่ชาตินี้ แต่ความจริงจิตมันซับข้อมูลนั้นไว้

บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติมันซับไว้จนเป็นจริต เป็นนิสัย เป็นพัฒนาการของมัน จิตนี้ถ้ามันมีพัฒนาการที่ดี เห็นไหม วุฒิภาวะที่ดีจะไปทำสิ่งที่ดี.. คิดชั่วยาก คิดดีง่าย จิตที่พัฒนาการมาทางเลวแต่เกิดเป็นมนุษย์เหมือนกัน.. คิดชั่วง่าย คิดดียาก นี่พัฒนาการของมัน

แต่สังคมโลกเป็นสมมุติ มีหน้ากาก มีมารยาสาไถย นี้คำว่ามารยานี่มารยาทางโลกใช่ไหม แต่เราปฏิบัตินี่มารยากับเราเอง เรารู้ของเราเอง เราปฏิบัติของเราเอง เพื่อจิตของเราเอง เพื่อประโยชน์กับเรา เอวัง